twitter

Blog Archive

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

กำเนิดเพอร์ซีอุส

นานมาแล้ว ในนคร อาร์กอส(Argos) อันมีกษัตริย์ทรงพระนามว่า อคริเสียส(Acrisius) ปกครองอยู่ พระเจ้าอคริเสียส มีธิดาเลอโฉมนามว่า ดาเนอี (Danae) ตามคำทำนายโดย เทพอพอลโล แห่งวิหารเดลฟี กล่าวไว้ว่า บุตรของ ดาเนอี จะเป็นผู้ปลิดพระชนม์ องค์อคริเสียส เพื่อเป็นการป้องกันชีวิต อคริเสียส จึงสร้างปราสาทโลหะ ที่ทั้งปราสาทมีหน้าต่างอยู่บานเดียว เพื่อขังเจ้าหญิง ดาเนอี เอาไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน และไม่ให้มีชายใดได้โอกาสยลโฉม นางจะได้ไม่ต้องมีคู่ครองแล้วมีลูกมาปลิดชีวิตผู้เป็นตา
แต่ ดาเนอี ก็หาได้รอดพ้นสายตาของ เซอุส เทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดไปได้ เซอุส เมื่อทรงทราบถึงโฉมงามของนาง ก็จำแลงกายเป็นสายฝนทองคำ เข้าสู่สมกับนางในหอปราสาท จนนางให้กำเนิดบุตรชายชื่อว่า เพอร์ซีอุส
(ภาพวาดโดย Tiziano Vecellio di Gregorio (มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๔๙๐-๑๕๗๖) ประมาณว่าวาดไว้ก่อนปี ค.ศ. ๑๕๕๓ ชื่อว่า Danae receiving the golden rain หรือ ดาเนอี สนองรับสายฝนทองคำ ที่ด้านบนของภาพ แสดง เซอุส ที่แปลงองค์เป็นสายฝนสีทองตกในห้องนางดาเนอี นางกำนัลต้นห้อง รีบกางผ้ากันเปื้อนรับทองคำที่ตกลงมาด้วยความโลภ โดย ดาเนอี นอนเปลือยมีสุนัขเฝ้าอยู่ข้างๆ)


หลังจากที่ ดาเนอี ให้กำเนิด เพอร์ซีอุส ไม่ช้าไม่นาน ความก็ไปถึงพระกรรณของพระบิดา เมื่อผู้รับใช้สังเกตเหตุการณ์ประหลาด เห็นแสงสว่างพวยพุ่งเป็นลำแสงสีทอง ออกจากหน้าต่างปราสาท ดาเนอี อยู่ทุกคืน องค์อคริเสียส จึงให้ทหารพังผนังปราสาทเข้าไป พบ ดาเนอี กำลังร้องเพลงกล่อมลูกน้อยบนตัก นางก็แสนจะดีใจ รีบอวดกุมารน้อยต่อพระบิดา แต่ องค์อคริเสียส กลับกริ้วสุดขีด บัญชาให้กำจัด ดาเนอี และโอรส ด้วยการนำทั้งสองไปใส่ในลังเอาไปลอยแพเสีย โดยหวังให้ไปตายกลางทะเล เพอร์ซีอุส จะได้ไม่มาฆ่าพระองค์ในภายหลัง
แต่โชคชะตาเหมือนมิใช่สิ่งที่ใครจะฝืนได้ ...เมื่อมิถึงที่ตายวายชีวาตม์ ใครพิฆาตเข่นฆ่ามิอาสัญ ... ลังตะกร้าบรรจุสองแม่ลูก ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ จนไปถึงเมือง เซรีโฟส และชาวประมงชื่อ ดิคทีส มาพบและช่วยชีวิตทั้งสอง เขาจึงให้ความอุปถัมภ์ค้ำชู ดาเนอี และลูกน้อย จนกระทั่ง เพอร์ซีอุส เติบใหญ่วัยฉกรรจ์ มีกำลังวังชามากมาย เป็นที่ครั่นคร้ามต่อทุกคน
แต่ต่อมาน้องชายของดิคทีส ซึ่งก็เป็นกษัตริย์ครองราชย์เมือง เซรีโฟส นั่นเอง มีพระนามว่า โพลีเดคเทส เมื่อทรงประจักษ์ถึงความงามของ ดาเนอี ก็ตกหลุมรักนางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และเฝ้ารบเร้าให้นางตกลงปลงใจยอมรับเป็นมเหสี แต่ ดาเนอี ก็มิเคยมีใจแปรผันจากองค์เซอุสเลย นางไม่ต้องการมีสามีใหม่ และได้ปฏิเสธ โพลีเดคเทส อย่างมิเหลือเยื่อใย
องค์โพลีเดคเทส ก็มิกล้าหักหาญใจนาง ด้วยความครั่นคร้ามในกำลังของ เพอร์ซีอุส จึงทรงวางแผนกำจัด เพอร์ซีอุส ให้พ้นหูพ้นตาไปเสีย จะได้ไม่มาเป็นก้างขวางคอ ด้วยการเสแสร้งทำเป็นจะแต่งงานกับสาวอื่น เพอร์ซีอุส ก็หลงกล ดีใจมาก เข้าไปแสดงความยินดี โพลีเดคเทส ได้ท่าจึงทวงถามให้ได้อายว่า จะให้อะไรเป็นของขวัญ
เพอร์ซีอุส แม้จะรูปงาม และมีพลังน่าเกรงขาม แต่ก็จนยากยิ่งนัก หากมิต้องการเสียศักดิศรีลูกผู้ชาย จึงตอบว่า คนอย่างเขา จะหาอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้พระองค์ทรงบัญชาว่ามีพระประสงค์สิ่งใด ก็จะเสาะแสวงมาได้ทั้งสิ้น
โพลีเดคเทสได้ที จึงขอให้ เพอร์ซีอุส ไปตัดหัว นางมารเมดูซ่า มาเป็นกำนัลในวันวิวาห์ของพระองค์

ตำนานมาร เมดูซ่า


เมดูซ่า เป็นชื่อที่ทำให้นึกถึงนางมารร้ายที่มีผมเป็นงู แต่คำว่า เมดูซ่า - Medusa เป็นคำที่มีมานานมากแล้ว ที่ยังคงเป็นรากศัพท์ไว้ในหลายๆภาษาโบราณ เช่น ในภาษาสันสกฤต คือ "เมธา" ในภาษากรีก คือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือคำว่า Met หรือ Maat มีแหล่งกำเนิดจากตำนานของประเทศลิเบีย ที่นำเข้ามารวมในตำนานกรีกทีหลัง เป็นที่นับถือของชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ในยุโรปสมัยโบราณยุคหิน งู ยังไม่ได้เป็นสัญญลักษณ์ของความชั่วร้าย ซึ่งเป็นทัศนคติตามคริสตศาสนาที่เกิดขึ้นมาภายหลัง หากเป็นสัญญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ และก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า เมดูซ่า เจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ เป็นเค้าเงื่อนที่ชาวอินเดียนำไปผูกเป็น เจ้าแม่ทุรคา หรือ กาลี ก็ได้
เมดูซ่า นั้น แต่เดิมทีหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็คงเป็น เจ้าป่าเจ้าเขาที่มีอำนาจ มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน (แบบที่เรียกว่า dreadlocks) ที่ดูคล้ายงู ในสังคมดึกดำบรรพ์ ที่ยังนับถือยกย่องให้ผู้หญิงเป็นใหญ่
ภายหลังที่สังคมกรีกกลายมาให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เนื่องจากเทพบุรุษเข้ามาแทนที่เทพสตรี ในสังคมกรีก ในช่วงพันปีแรกของอาณาจักรกรีก จนมาถึงประมาณ ๖๐๐ ปีก่อนคริสตศตวรรษ วิหารบูชา เมดูซ่า ก็ถูกทำลายลงไปไม่เหลือซาก ชาวกรีกคงเอามาผูกเป็นตำนานให้เป็นนางมารร้ายไปในภายหลัง ชื่อของเธอ ก็กลายไปเป็นเพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ ที่ถูกฆ่าโดย เพอร์ซีอุส แล้วชาวกรีก ก็ถ่ายทอดพลังอำนาจของ เมดูซ่า มาให้ เทพอะธีน่า ผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคม ที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่าง คือรักษาพรหมจรรย์ และรับใช้ครอบครัว ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูน เทพเซอุส พระบิดา เหนือตนเอง
ตามตำนานกรีกนั้น เมทิส แม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองสาว ทั้งเมดูซ่าและพี่สาวแต่เดิมนั้น เป็นสาวงามมาก ต่อมา เมทิส แม่ของนาง ถูก เทพเซอุส ข่มขืน แล้วกลืนลงท้องไป เมทิส เป็นเจ้าแห่งปัญญา และสามารถแปลงร่างต่างๆได้ เซอุส จึงอาศัยพลังปัญญาและเวทย์มนต์ของ เมทิส มาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ช่วยให้ เซอุส มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และยังสามารถแปลงร่างได้ดังใจนึก ไปเอาสตรีมากมายเป็นภรรยาได้ในภายหลัง พลังของ เมทิส สำลักออกทางหน้าผาก เซอุส กลายเป็นเทพธิดา อะธีน่า ผู้ได้รับมรดกทางปัญญาจาก เมทิส ผู้เป็นแม่
ตั้งแต่เกิดมา อะธีน่า ก็ถือ เมดูซ่า เป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้อง มีแต่เมดูซ่า ผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอ มีสถานะเป็นเทพ จึงฆ่าไม่ตาย อะธีน่า จึงหันมาหาทางทำลาย เมดูซ่า แต่ผู้เดียวในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด

วันหนึ่งใน วิหารอะธีน่า ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นวิหารๆไป เทพอะธีน่า เป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารี ที่สตรีพรหมจรรย์ชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงาม เมดูซ่า ที่มีชายมากหลายหมายปอง ก็ไปบูชา เทพอะธีน่า ยังวิหารตามปกติ เทพโพไซดอน ได้ประจักษ์เห็นความงามของนางแล้ว ก็ต้องการครอบครองโดยใช้กำลังขืนใจ อะธีน่า จึงได้โอกาสใส่ความว่า เมดูซ่า บังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบ เมดูซ่า ให้กลายเป็นมารร้ายน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมอันสวยงามลือชื่อของนาง กลายเป็นงูเต็มหัว จากสาวงามเลื่องชื่อ ต้องมากลายเป็นมารร้ายที่น่าชิงชังขยะแขยง จนใครที่ได้เห็น จะต้องกลายเป็นหินไป
เมดูซ่า ทั้งชอกช้ำ ทั้งอับอาย ก็แปรความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการทำร้ายหมายมาดทุกชีวิตที่ขวางหน้า โดยทำให้กลายเป็นหินไปจากการมองหน้าของนาง เป็นการตอบโต้ความอยุติธรรม ที่ทำให้นางต้องรับชะตากรรมอันโหดร้าย
เมดูซ่า จึงกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในตำนานกรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆของเมดูซ่าตามวิหารต่างๆมากมาย ในภาพเป็นรูปปั้นของเมดูซ่า เป็นมารเฝ้าประตูวิหารที่เกาะ คอร์ฟู

จุดจบของ เมดูซ่า

(ภาพวาดชื่อ The Arming of Perseus โดย Edward Coley Burne-Jones]

เมื่อ เพอร์ซีอุส ตกหลุม โพลีเดคเทส ก็ต้องออกล่าหา เมดูซ่า เพื่อตัดหัวมาตามสัญญา เทพอะธีน่า ซึ่งรอคอยหาคนมากำจัด เมดูซ่า ให้อยู่นานแล้ว เพราะความเป็นเทพของนาง ทำให้ไม่สามารถไปแสดงอำนาจพาลได้ถนัด ยังต้องอาศัยเหตุผลข้ออ้าง และน้ำมือคนอื่นไปกำจัดศัตรูให้ กี่คนๆมาแล้วที่ต้องการไต่เต้าสร้างวีรกรรม ที่ได้กลายเป็นหินไปหมด ทันทีที่ เพอร์ซีอุส มาเข้าทางตน อะธีน่า ก็กุลีกุจอปรากฏตัวขึ้นทันที เพื่อช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนกำจัด เมดูซ่า ของนางโดยราบรื่น
อะธีน่า จึงช่วยบอกทางให้ เพอร์ซีอุส ไปยัง ซามอส อันเป็นที่พำนักของ นางกอร์กอนสามพี่น้อง เทพอะธีน่า ก็ได้ประทานโล่ห์ที่เป็นเงามันวับเหมือนกระจก แล้วช่วยให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อ เพอร์ซีอุส จะได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และเตือน ไม่ให้มองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะทำให้กลายเป็นหินไปเสียก่อน
จากนั้น อะธีน่า ก็ให้อนุชา คือ เทพเฮอร์มีส (ที่ชาวโรมันเรียกว่า เมอร์คิวรี่ นั่นเอง) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ เซอุส อีกผู้หนึ่ง ไปนำ ดาบโค้ง ของโครนัสมาให้ เพอร์ซีอุส เพื่อใช้ฆ่า เมดูซ่า

เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า เพอร์ซีอุส จะปฏิบัติการได้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆอีก อะธีน่า จึงช่วยบอกอุบายรายละเอียด และชี้ทางให้ เพอร์เสียส ไปหานางแม่มดสามพี่น้องแห่ง เกรยี ผู้เป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาเพียงดวงเดียว และมีฟันเพียงซี่เดียว ต้องแบ่งกันใช้ แต่ก็ทะเลาะเบาะแว้งแย่งตาแย่งฟันกันมาชั่วชีวิต เพอร์ซีอุส จึงอาศัยความชุลมุนจากการแก่งแย่งนั้น เข้าไปขโมยดวงตาและฟันพวกแม่มดเกรยีมา เพื่อบังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ แล้วจึงจะคืนตาและฟันให้ เมื่อ เพอร์ซีอุส รู้ทางแล้ว ก็ไปหา นางนิมฟ์ผู้ใจดี ผู้ให้ยืมรองเท้ามีปีกที่ทำให้เหาะได้ หมวกวิเศษที่ทำให้ล่องหนได้ และกระเป๋าวิเศษเพื่อไว้ใส่หัวเมดูซ่า
เมื่อได้ของวิเศษต่างๆแล้ว เพอร์ซีอุส ก็เข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงก็พบว่า เมดูซ่า กำลังนอนหลับกับพี่สาวทั้งสอง เพอร์ซีอุส ก็ได้ อะธีน่า ที่ตามมาช่วยอยู่ตลอดเวลา ช่วยถือโล่ห์ให้ จากภาพเงาของเมดูซ่าในโล่ห์มันวับ เพอร์ซีอุส ก็ตัดหัว เมดูซ่า ขาดแล้วเก็บใส่ถุงวิเศษทันที เลือดไหลนองออกจากคอของ เมดูซ่า ก่อกำเนิดเกิดออกมาเป็น ม้ามีปีก เพกาซัส แล้ว เมดูซ่า ก็จบสิ้นความระทมทุกข์ทรมาน จากชีวิตอันโหดร้ายของเธอ ส่งผลให้ เพอร์ซีอุส กลายเป็นวีรบุรุษอมตะผู้ปราบมารของชาวกรีกไป
จากนั้น เพอร์ซีอุส ก็เดินทางกลับเพื่อเอาหัว เมดูซ่า ไปมอบให้ โพลีเดคเทส ตามสัญญา

ขณะที่บินไปด้วยรองเท้าวิเศษ เหนือประเทศ เอธิโอเปีย เพอร์ซีอุส ก็สังเกตเห็นสาวงามนางหนึ่ง เปลือยร่างถูกตรึงด้วยโซ่อยู่กับก้อนหินริมทะเล จึงแวะลงมาถามไถ่ ความงามของสาวน้อยทำให้ เพอร์ซีอุส ตกหลุมรักทันที นางบอกว่า ชื่อเจ้าหญิงอันดรอเมด้า เป็นราชธิดาของกษัตริย์ เซฟเฟียส และราชินี แคสซีโอพายย่า พระมารดาของนางทรงเลอโฉมสุดจะหาผู้ใดปานได้ แต่พระนางผู้เป็นมารดา พร่ำเพ้อเห่อเหิมในความทรงโฉมของพระองค์เองเป็นยิ่งนัก ครั้งหนึ่ง ได้ไปคุยทับถมว่า ความงามของพระนางนั้น เลิศเลอยิ่งกว่าความงามของ นางนิ้มฟ์ทั้งห้าสิบพี่น้องตระกูลเนเรียดส์แห่งห้วงสมุทรเสียอีก เหล่านางนิ้มฟ์เนเรียดส์ จึงคั่งแค้นยิ่งนัก ที่นางมนุษย์บังอาจมาลบหลู่ความงามของเทพ จึงพากันไปร้องเรียน เทพโพไซดอน ผู้เป็นเจ้าสมุทร ทำให้ทรงพิโรธโกรธขึ้ง สั่งให้อสูรทะเล เซตัส มาเรียกร้องให้เอาเจ้าหญิงมาพลีชีพ สังเวยกรรมพระมารดาเสีย หาไม่แล้ว อสูรเซตัส จะทำลายเมืองเอธิโอเปียให้ราพนาสูรสิ้นไป

(ภาพวาด ชื่อ Perseus Hastening to Rescue Andromeda โดย Fredrick, Lord Leighton)

เพอร์ซีอุส จึงเสนอตัวปราบมารอีกครั้งหนึ่ง โดยขอแต่งงานกับเจ้าหญิงเป็นการตอบแทน ที่ทั้งองค์ราชาและราชินีก็รีบละล่ำละลักรับปาก ยังไม่ทันขาดคำ อสูรร้ายเซตัส ก็ปรากฏตัว หลังจากฟาดฟันกันได้ชั่วขณะหนึ่ง เพอร์ซีอุส จึงชูหัวนางเมดูซ่าขึ้น ทำให้ เซตัส กลายเป็นหินสิ้นชีวิตไปทันที
ครั้นกู้ให้ชาวเมืองเอธิโอเปียพ้นภัยได้แล้ว กษัตริย์เซฟเฟียส และพระนางแคสซีโอพายย่า กลับคิดจะคืนคำที่จะมอบเจ้าหญิง อันดรอเมด้า ให้ เพอร์ซีอุส เพราะเจ้าหญิงถูกหมายหมั้นไว้กับเจ้าอา อนุชาของพระบิดาไว้แล้ว ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะของ เพอร์ซีอุส เจ้าอา ก็ยกกำลังจะมาชิงนาง เพอร์ซีอุสจึงได้ใช้หัว เมดูซ่า ปราบศัตรูอีกครั้งหนึ่ง และได้พาเจ้าหญิงกลับคืนยัง เซรีโฟส เพื่อจะได้ครองรักกัน
เมื่อเพอร์ซีอุส พาเจ้าหญิง อันดรอเมด้า กลับคืนเมืองนอนมาแล้ว ก็ได้รู้ถึงกลลวงของ โพลีเดคเทส เพราะขณะที่ เพอร์ซีอุส ออกล่า เมดูซ่า นั้น โพลีเดคเทส เชื่อว่า เพอร์ซีอุส คงต้องพินาศดับสิ้นแน่ๆ จึงหวังจะรวบรัด ดาเนอี โดยจัดพิธีวิวาห์ขึ้น ดาเนอี ต้องหลบหนีการแต่งงานไปอยู่ในวิหารประจำเมือง เพอร์ซีอุส จึงบุกเข้าไปที่พิธีแต่งงานนั้น โพลีเดคเทส ก็สั่งให้สมุนมากำจัด เพอร์ซีอุส แต่ก็เช่นเคย ศัตรูทั้งหมดก็ต้องประสบชะตากรรมกลายเป็นหินไป ด้วยหัวนาง เมดูซ่า อีก
เสร็จศึกแล้ว เพอร์ซีอุสก็มอบหัว เมดูซ่า ให้เทพอะธีน่า ซึ่งเอาไปตรึงบนเกราะอกของเธอ เป็นเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า AEgis (ที่กองทัพเรือสหรัฐเอาไปใช้เป็นชื่อเรือรบชนิดหนึ่ง) อันน่าเกรงขามที่ใครมองเข้า ก็จะกลายเป็นหินไปทันที
ต่อมา ในเกมส์ละเล่นเหวี่ยงแผ่นหิน เพอร์ซีอุส กำลังเล่นอยู่และโยนแผ่นหินหลุดมือไปโดน อคริเสียส ในหมู่ผู้ชม ถึงแก่สิ้นพระชนม์ลง เป็นอันเป็นไปตามคำทำนายดวงชะตามาแต่ก่อนเก่า
หลังจากนั้น เพอร์ซีอุส และ อันดรอเมด้า ก็ครองรักกันมาอย่างมีความสุข บุตรชายคนแรกของทั้งสอง มีชื่อว่า Peres ตามตำนานกล่าวว่า เป็นกษัตริย์องค์แรกของชาวเปอร์เซีย อันเป็นอาณาจักรโบราณ ที่ได้แผ่อำนาจขยายอาณาเขตอิทธิพลครอบคลุมไปทั่วทั้งตะวันออกกลาง ไปจนถึงภาคตะวันตกของจีนและอินเดีย

 

4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ชอบครับ

ขอบคุณครับ

เอก กล่าวว่า...

เขียนดีอ่ะครับ เนี๊ยแระตำนานของจริง ไม่ช่ายออกนอกทางเหมือน Cash of titan

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เจ๋งเป้ง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นี่สิตำนานของจริง Cash of titan มั่วได้ใจ

แสดงความคิดเห็น


flag counter

free counters